79% เห็นด้วย
ตั้ง กมธ. วิสามัญ ศึกษาโครงการผันน้ำ โขง เลย ชี มูล ป่าสัก
เนื่องจากภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นภูมิภาคที่มีพื้นที่การเกษตรจำนวนเกือบ 70,000,000 ไร่ แต่มีพื้นที่ชลประทานน้อยที่สุดเพียง 8.06 ล้านไร่ หรือคิดเป็นร้อยละ 11.53 ของพื้นที่การเกษตร ทำให้พื้นที่อีก 60 ล้านไร่ ต้องอาศัยน้ำฝนเพื่อทำการเกษตร ทำให้ขาดความมั่นคงในเรื่องน้ำ ในช่วงฤดูฝนพื้นที่ดังกล่าวต้องประสบปัญหาน้ำท่วม และในฤดูแล้งต้องประสานงานการผลิตและน้ำเป็นประจำเกือบทุกปี ทำให้ผลผลิตข้าวนาปีและผลผลิตทางการเกษตรต่างๆ มีปริมาณการผลิตที่ค่อนข้างต่ำกว่าทุกภูมิภาคของประเทศ ส่งผลให้เกษตรกรในพื้นที่มีรายได้ไม่เพียงพอต่อการยังชีพ จึงได้รับความเดือดร้อน ดังนั้น ที่ประชุมจึงพิจารณาตั้งกรรมาธิการวิสามัญ เพื่อศึกษาว่าหากพื้นที่ดังกล่าวมีการก่อสร้างโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล ป่าสัก จะก่อให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนหรือไม่
โดยเฉลี่ย
เห็นด้วย 392 ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 1 ไม่ลงคะแนน 10422.11.2019
77% เห็นด้วย
พิจารณาพ.ร.ก.โอนกำลังพลและงบประมาณฯ
30 กันยายน 2562 พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ในฐานะนายกรัฐมนตรีภายใต้รัฐบาล 'คสช.2' ลงนามออกกฎหมายเป็นพระราชกำหนด (พ.ร.ก.) ให้โอนอัตรากำลังพลและงบประมาณบางส่วนของกองทัพบก กองทัพไทย กระทรวงกลาโหม เฉพาะในส่วนที่เกี่ยวกับกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ และกรมทหารราบที่ 1 มหาดเล็กราชวัลลภรักษาพระองค์ ไปเป็นของหน่วยบัญชาการถวายความปลอดภัยรักษาพระองค์ ซึ่งเป็นส่วนราชการในพระองค์
เมื่อคณะรัฐมนตรีใช้อำนาจออกกฎหมายเป็นพระราชกำหนดจะต้องนำให้รัฐสภาพิจารณารับรองทันทีที่เปิดประชุมสภา ปัญหาสำคัญของการออกพระราชกำหนดครั้งนี้ คือ เงื่อนไขในการออกพระราชกำหนด ตามรัฐธรรมนูญ มาตรา 172 กำหนดว่า ต้องเป็นกรณีจำเป็นเร่งด่วนเท่านั้น ถ้าไม่มีเหตุเร่งด่วนคณะรัฐมนตรีควรเสนอกฎหมายเป็นร่างพระราชบัญญัติตามกระบวนการปกติ แต่คณะรัฐมนตรีโดยพล.อ.ประยุทธ์ ไม่สามารถอธิบายถึงความจำเป็นเร่งด่วนได้ 17 ตุลาคม 2562 เมื่อครม.นำพ.ร.ก.ฉบับนี้เข้าสู่การพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ปิยบุตร แสงกนกกุล อภิปรายถึงความไม่ถูกต้องตามเงื่อนไขของ มาตรา 172 ส.ส. พรรคอนาคตใหม่ 70 คนลงมติไม่เห็นด้วยกับการออก พ.ร.ก.ฉบับนี้ และแพ้ไปด้วยคะแนนรวม 374 ต่อ 70 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง
โดยเฉลี่ย
เห็นด้วย 374 ไม่เห็นด้วย 70 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 4029.10.2019
51% เห็นด้วย
พ.ร.บ.งบประมาณฯ วาระที่ 1
ทางปฏิบัติในการบริหารราชการแผ่นดิน เมื่อรัฐบาลต้องการงบประมาณจะเสนอเป็น ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ทุกปี เพื่อให้รัฐสภาพิจารณาอนุมัติการใช้จ่ายงบประมาณ การพิจารณางบประมาณปี 2563 เป็นที่จับตาเพราะรัฐบาลมีเสียงสนับสนุนแบบ "ปริ่มน้ำ" และมี ส.ส. ที่ถูกตัดสิทธิอยู่ระหว่างการเลือกตั้งใหม่อีกจำนวนหนึ่งทำให้เสถียรภาพของรัฐบาลสั่นคลอน หากมี ส.ส. ฝ่ายรัฐบาลไม่ลงมติสนับสนุนอาจทำให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณที่รัฐบาลเสนอนั้นไม่ผ่านการพิจารณาของสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งอาจเป็นอุปสรรคกับการพัฒนางานของระบบราชการ และหากเป็นเช่นนั้นตามธรรมเนียมทางการเมืองรัฐบาลต้องรับผิดชอบโดยการลาออกหรือยุบสภาเพื่อเลือกตั้งใหม่
17 ตุลาคม 2562 สภาผู้แทนราษฎรนัดพิจารณาร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี โดยมีการอภิปรายอย่างกว้างขวางถึงสามวันเต็ม และในคืนวันที่ 19 ตุลาคม 2562 สภาผู้แทนราษฎรก็ลงมติ เห็นชอบ 251 เสียง งดออกเสียง 234 เสียง ให้ร่างพ.ร.บ.งบประมาณรายจ่ายประจำปี ผ่านวาระแรก เข้าสู่การตั้งคณะกรรมาธิการพิจารณารายละเอียดในวาระที่สองต่อไป ซึ่งกำหนดระยะเวลาพิจารณา 30 วัน ก่อนจะนำกลับเข้ามาอภิปรายในที่ประชุมของสภาผู้แทนราษฎรอีกครั้งหนึ่ง
โดยเฉลี่ย
เห็นด้วย 251 ไม่เห็นด้วย 0 งดออกเสียง 234 ไม่ลงคะแนน 1229.10.2019
45% เห็นด้วย
ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาผลกระทบโครงการอีอีซี
Eastern Economic Corridor (EEC) หรือ โครงการระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก เป็นหนึ่งในนโยบายหลักของรัฐบาล คสช.2 ซึ่งสานต่อมาจากแผนเศรษฐกิจเดิมที่ดำเนินมาตั้งแต่ยุคแรกที่ คสช.1 โดยมี 'สมคิด จาตุศรีพิทักษ์' เป็นผู้ผลักดันคนสำคัญ ภาพในฝันของการดำเนินโครงการแบบ EEC คือ การพัฒนาพื้นที่ทางเศรษฐกิจเพื่อดึงดูดนักลงทุนต่างชาติ ในสามจังหวัดภาคตะวันออก ได้แก่ ชลบุรี ระยอง และฉะเชิงเทรา ผลกระทบที่ชัดเจนที่สุด ของโครงการอีอีซี คือ การพุ่งขึ้นของราคาที่ดินและการค้าที่ดิน ทำให้เกษตรกรที่เคยเช่าที่ดินทำการเกษตรและการประมงมายาวนาน ต้องถูกยกเลิกสัญญาเช่าโดยทันทีเมื่อเจ้าของที่ดินขายที่ดินให้กับนักลงทุน และผลกระทบที่จะตามมาอย่างที่สอง คือ ผลกระทบต่อชุมชนและสิ่งแวดล้อม
สมาชิกสภาผู้แทนราษฎรถึงสามพรรคการเมืองได้แก่ อนาคตใหม่ ประชาธิปัตย์ และพลังประชารัฐ เสนอให้ตั้งคณะกรรมาธิการ (กมธ.) วิสามัญตรวจสอบผลกระทบโครงการอีอีซี โดยใช้ชื่อและวัตถุประสงค์การทำงานต่างกันไป หลังจากญัตตินี้ถูกเลื่อนพิจารณาหลายครั้ง เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2562 ที่ประชุมมีมติไม่เห็นด้วยให้ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญด้วยเสียง 231 ต่อ 223 เสียง งดออกเสียง 2 เสียง จากผู้เข้าประชุม 456 คน
โดยเฉลี่ย
เห็นด้วย 224 ไม่เห็นด้วย 231 งดออกเสียง 2 ไม่ลงคะแนน 4013.9.2019
83% เห็นด้วย
ขยายสัญญาสัมปทานทางด่วนและรถไฟฟ้าบีทีเอส
วันที่ 5 กันยายน 2562 ที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบด้วยกับข้อเสนอตามรายงานของคณะกรรมาธิการวิสามัญ ที่เห็นควรให้ขยายสัมปทานทางด่วน เพื่อยุติข้อพิพาทระหว่างการทางพิเศษแห่งประเทศไทย (กทพ.) กับ บริษัท ทางด่วนและรถไฟฟ้าจำกัด (มหาชน) (BEM) และไม่ขยายสัมปทานการเดินรถไฟฟ้าสายสีเขียวของบีทีเอส ที่จะสิ้นสุดในปี 2572 ด้วยคะแนน 412 ต่อ 25 งดออกเสียง 20 คะแนน ซึ่งเมื่อผ่านการลงมติจากสภาผู้แทนราษฎรแล้วก็จะเสนอให้คณะรัฐมนตรีเป็นผู้นำไปปฏิบัติต่อไป
โดยเฉลี่ย
เห็นด้วย 412 ไม่เห็นด้วย 25 งดออกเสียง 20 ไม่ลงคะแนน 405.9.2019
20% เห็นด้วย
ตั้งคณะกรรมาธิการผู้มีความหลากหลายทางเพศ
วันที่ 22 สิงหาคม 2562 การประชุมของสภาผู้แทนราษฎรเพื่อพิจารณาร่างข้อบังคับการประชุม ในประเด็นเรื่องคณะกรรมาธิการในสภาผู้แทนราษฎร ซึ่งในร่างที่เสนอมามี 35 คณะ แต่ น.ส.ณธีภัสร์ กุลเศรษฐสิทธิ์ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคอนาคตใหม่ เสนอขอเพิ่มเป็น 36 คณะ โดยเสนอให้มีคณะกรรมาธิการผู้มีความหลากหลายทางเพศ แยกออกมาจากต่างหากจากคณะกรรมาธิการเด็ก เยาวชน สตรี ผู้สูงอายุ ผู้พิการ กลุ่มชาติพันธุ์ และผู้มีความหลากหลายทางเพศ ซึ่งผลปรากฏว่า ที่ประชุมไม่เห็นชอบกับคำแปรญัตติของ น.ส.ณธีภัสร์ ด้วยคะแนน 365 ต่อ 101 และงดออกเสียง 13 ส่งผลให้กรรมาธิการสามัญ จะมีจำนวน 35 คณะตามร่างเดิม
โดยเฉลี่ย
เห็นด้วย 101 ไม่เห็นด้วย 365 งดออกเสียง 13 ไม่ลงคะแนน 2022.8.2019